หากจะทำความเข้าใจในกรณีของการเสียกรุงศรีอยุธยาในครั้งที่ 1 ให้ดียิ่งขึ้นแล้วจำเป็นอย่างมากที่จะต้องมาทำความเข้าใจในกรุงศรีอยุธยาสมัยของสมเด็จพระมหาจักรพรรดีให้ดียิ่งขึ้นด้วย
สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ หรือ พระเจ้าช้างเผือก เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 15 แห่งกรุงศรีอยุธยา ทรงเป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระ
รามาธิบดีที่ 2 อันประสูติจากสนม ทรงมีศักดิ์เป็นพระอนุชาต่างพระมารดาของพระไชย-ราซาธิราช ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่มีบารมีมากเพราะทรงมีช้างเผือกในครอบครองถึง 7 เชือก
พระนามเต็มของพระองค์ที่ปรากฏในพระราชพงศาวดารคือ "พระศรีสรรเพชญ สมเด็จพระบรมราชาธิราชรามาธิบดี ศรีสินทรบรมหาจักรพรรดิ วรรยราชาธิบดินทร์ ธรณินทราธิราชรัตนกาศภาสกรวงศ์ องค์บรมาธิเบศร์ ตรีภูวเนตรวรนาถนายกดิลกรัตนราชชาติอาชาวไสย สมุทัยตโรมนต์ สกลจักรวาฬาธิเบนทร สุริเยนทราธิบดินทร หริหรินทราธาดาธิบดีศรีวิบูลย์คุณรุจิตร ฤทธิราเมศวรธรรมิกราชเดโชไชย พรหมเทพาดิเทพตรีภูวนาธิเบศร์ โลกเซษฐ วิสุทธมงกุฎเทศคตามหาพุทธางกุรบรมพิบพิตร พระพุทธเจ้าอยู่หัว พระมหานครทวารวดีศรีอยุธยา มหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบุรีรมย์"
สมเด็จพระมหาจักรพรรดิเสด็จพระราชสมภพเมื่อ พ.ศ. 2055 ทรงมีพระนามเดิมว่า “พระเฑียรราชา” พระองค์ทรงมีพระอัครมเหสีคือสมเด็จพระศรีสุริโยทัย และทรงมีพระราชโอรสและพระราชธิดาห้าพระองค์คือ
พระราเมศวร
พระมหินทร์
พระสวัสดิราช
พระบรมดิลก และ
พระเทพกษัตรี
ทรงมีที่ประทับ อยู่ที่วังชัย ในกรุงศรีอยุธยาในรัชสมัยสมเด็จพระยอดฟ้า พระเฑียรราชา ทรงดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแผ่นดินคู่กันกับท้าวศรีสุดาจันทร์ ต่อมาเพื่อหลบหลีกความกดดันจากท้าวศรีสุดาจันทร์ จึงได้เสด็จออกผนวช ณ วัดราชประดิษฐาน จนถึงสมัย
ขุนวรวงศาธิราชได้ครองกรุงศรีอยุธยา เมื่อ พ.ศ. 2091 ขุนพิเรนทรเทพ เจ้ากรมพระตำรวจขวาและคณะได้กำจัดขุนวรวงศาธิราชและท้าวศรีสุดาจันทร์ เสร็จสิ้นแล้ว จึงได้อัญเชิญพระเฑียรราชา ให้ลาผนวชและขึ้นครองราชย์ ทรงพระนามว่า “สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ”
ในความสำเร็จครั้งนั้นสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ได้ทรงปูนบำเหน็จผู้มีความดีความชอบเมื่อพระองค์ขึ้นครองราชย์แล้ว โดยได้ทรงแต่งตั้งขุนนางผู้มีความดีความชอบหลายคน เริ่มจาก
ขุนพิเรนทรเทพ สถาปนาเป็น พระมหาธรรมราชาธิราช สำเร็จราชการเมืองพิษณุโลกแล้วพระราชทานพระสวัสดิราช รั้งตำแหน่งพระวิสุทธิกษัตรีย์ ให้เป็นพระมเหสี
ขุนอินทรเทพ แต่งตั้งเป็น พระยาศรีธรรมาโศกราช สำเร็จราชการเมืองนครศรีธรรมราช
หลวงศรียศ บ้านลานตากฟ้า แต่งตั้งเป็น พระยามหาเสนาบดีที่สมุหกลาโหม
หมื่นราชเสน่หา แต่งตั้งเป็น พระยามหาเทพ
หมื่นราชเสน่หา นอกราชการ แต่งตั้งเป็นพระภักดีนุชิต
พระพิชัย แต่งตั้งเป็น พระยาพิชัย พระสวรรคโลก แต่งตั้งเป็น พระยาสวรรคโลก
ในปี พ.ศ. 2091 หลังจากสมเด็จพระมหาจักรพรรดิขึ้นครองราชย์ได้เพียง 7 เดือน การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญครั้งนี้เป็นที่เลื่องชื่อลือกระฉ่อนไปทั่ว จนทราบไปยังพระเนตรพระกรรณของ พระเจ้าหงสาวดีพระเจ้าตะเข็งชะเวตี้ กษัตริย์พม่า ทรงพระราชดำริว่า ทางกรุงศรีอยุธยาผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน เห็นเป็นโอกาสที่จะแผ่อำนาจมายังกรุงศรีอยุธยา จึงได้ยกกองทัพใหญ่มาทางด่านพระเจดีย์สามองค์
เมืองกาญจนบุรี ศึกครั้งนี้จบลงด้วยความพ่ายแพ้ของพม่า
ก่อนหน้านี้
หลังจากพม่ายกทัพกลับไปแล้วในระหว่างปี พ.ศ. 2092 - พ.ศ. 2106 สมเด็จพระมหาจักรพรรดิโปรดให้ปรับปรุงกิจการทหาร และเสริมสร้างบ้านเมืองให้มั่นคงแข็งแรงกว่าเดิม ยุทธศาสตร์ในการป้องกันคือ ใช้พระนครเป็นที่โดยเริ่มจาก
การก่อกำแพงพระนคร เมื่อพ.ศ. 2092 ทรงให้ก่อกำแพงพระนครศรีอยุธยาก่ออิฐถือปูนตามแบบฝรั่งเป็นครั้งแรก จากเดิมที่ถมดินเป็นเชิงเทินแล้วปักเสาไม้ระเนียดด้านบนการรื้อกำแพงเมือง โดยโปรดให้รื้อกำแพงเมืองหน้าด่านชั้นนอกออก 3 เมืองคือ เมืองสุพรรณบุรี เมืองลพบุรี และเมือนครนายก เพื่อป้องกันไม่ให้ข้าศึกอาศัยเป็นที่ตั้งมั่น
การขุดคลองโปรดให้ขุดคลองมหานาคเป็นคูเมืองออกไปถึงชายทุ่งภูเขาทอง คาดว่าเริ่มขุดตั้งแต่ศึกพระสุริโยทัยขาดคอช้างแต่เพิ่งมาเสร็จ
การสำรวจบัญชีสำมะโนครัว สมเด็จพระมหาจักรพรรดิโ ปรดให้สำรวจบัญชีสำมะโนครัวใหม่ ตามหัวเมืองชั้นในทุกหัวเมือง ทำให้ทราบจำนวนชายฉกรรจ์ที่สามารถทำการรบได้
การตั้งเมืองใหม่ ทรงตั้งเมืองใหม่ขึ้น 3 เมือง เพื่อให้เป็นที่รวมพลและง่ายต่อการเกณฑ์เข้าพระนคร
ยกตลาดขวัญ เป็น เมืองนนทบุรี
ยกบ้านท่าจีนเป็น เมืองสาครบุรี แบ่ง เอาเขตเมืองราชบุรีกับเมืองสุพรรณบุรีเป็น เมืองนครชัยศรี
การสร้างเรือรบ พ.ศ. 2095 สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ โปรดให้แปลงเรือแซ (เรีอยาวตีกรรเชียง ใช้คนพาย ประมาณ 20 คน) เป็นเรือชัย (เรือที่มีปืนใหญ่ยิงได้ที่หัวเรือ) และหัวสัตว์ คือการพัฒนาเรือรบนั่นเอง ซึ่งก็คือเรือที่ใช้ในพระราชพิธีปัจจุบัน
การหาช้างสำหรับทำสงคราม โปรดให้จับช้างเข้ามาใช้ในราชการ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ทรงสามารถจับช้างเผือกได้ถึง 7 เชือก จึงได้รับขนานพระนามว่า พระเจ้าช้างเผือก อีกพระนามหนึ่ง
การจัดการบ้านเมืองครั้งใหญ่นี้น่าจะทำให้กรุงศรีอยุธยามีความมั่นคงและเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น ในช่วงที่ว่างจากการทำสงครามกับพม่านั้น ในรัชสมัยของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ก็ยังมีเหตุการณ์สำคัญ ๆ ที่เกิดขึ้นมาอีกหลายครั้ง ดังนี้
เกิดกบฎพระศรีศิลป์ ประมาณ พ.ศ. 2098 พระศรีศิลป์ พระโอรสของสมเด็จพระไชยราชาธิราชกับท้าวศรีสุดาจันทร์มีอายุได้ 14 ปี สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ทรงให้บวชเป็นสามเณรอยู่ที่วัดราชประดิษฐานแต่พระศรีศิลป์กลับวางแผนก่อกบฎและถูกจับได้ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิทรงไม่ประหารแต่ให้คุมตัวไว้ที่วัดธรรมิกราช จนถึง พ.ศ. 2104 พระศรีศิลป์มีอายุครบ 20 สมเด็จพระมหาจักรพรรดิจะให้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ (พระราชพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐฯ กล่าวว่าตอนนั้นบวชอยู่ที่วัดมหาธาตุ) แต่พระศรีศิลปีหนีไปซุ่มพลอยู่
ตำบลม่วงมดแดง จึงรับสั่งให้เจ้าพระยามหาเสนาบดีไปตามฝ่ายพระศรีศิลป์จึงยกกองทัพมาก่อกบฏ เข้ากรุงศรีอยุธยามาในวัน
พฤหัสบดี แรม 14 ค่ำ เดือน 8 วันรุ่งขึ้นพระศรีศิลป์เข้าพระราชวังได้ครั้งนั้นได้ แต่พระศรีศิลป์ถูกปืนยิงตายในพระราชวัง ผู้ที่มีส่วนร่วมในการก่อการทั้งหมดถูกนำไปประหารชีวิต เหตุการณ์จึงเข้าสู่ภาวะปกติ
สงครามกับเขมร พ.ศ. 2099 ในเดือน 12 สมเด็จพระมหาจักรพรรดิทรงให้แต่งทัพไปตีเมืองละแวก พระยาองค์ (โอง) สวรรคโลก (เชื่อว่าเป็นคนเดียวกับพระยาสวรรคโลกที่กำจัดขุนวรวงศาธิราช) เป็นทัพหลวง ยกทัพ 30,000 ให้พระมหามนตรีถืออาชญาสิทธิ์ พระมหาเทพถือวัวเกวียน 11 ให้พระยาเยาวเป็นแม่ทัพเรือ แต่ลมพัดไม่เป็นใจทัพเรือจึงตามทัพบกไม่ทัน พระยารามลักษณ์แม่ทัพบกได้เข้าตีเขมรในตอนกลางคืน แต่เสียทีถอยหนีมาถึงทัพใหญ่ในศึกนี้เสียพระยาองค์ (โอง) สวรรคโลกกับไพร่พลอีกจำนวนมาก
ต่อมาก็เกิดฮงครามช้างเผือกขึ้นมาอีก หลังเสร็จสิ้นปัญหาเรื่องสงคราม ช้างเผือกแล้ว ภายในกรุงศรีอยุธยาก็ยังคงดูปั่นป่วนอยู่ไม่น้อยเริ่มจากเกิดกบฏปัตตานี กล่าวคือหลังสงครามช้างเผือก มุซาฟาร์ ชาย สุลตานแห่งปัตตานี ยกทัพมาช่วยกรุงศรีอยุธยา เมื่อกองทัพปัตตานีมาถึงปากแม่น้ำเจ้าพระยา ปรากฎว่ากองทัพพม่าได้ล่าถอยออกไปแล้ว สุลต่านมุชาฟาร์ ชาฮฺ ได้นำกองทัพชาวมลายูเข้าไปพักในกรุงศรีอยุธยา ในระหว่างที่พักอยู่ในกรุงศรีอยุธยานั้นได้เกิดความขัดแย้งขึ้นระหว่างกองทัพมลายูปัตตานีกับกองทัพสยาม จึงได้เกิดการสู้รบกันขึ้น สุลต่านมุซาฟาร์ ชาฮฺ นำกองทัพเข้ายึดพระราชวังได้ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิจึงต้องเสด็จหนีไปที่เกาะมหาพราหมณ์แล้วจึงรวบรวมกำลังเข้าตีตอบโต้ กองทัพปัตตานีต้องถอยร่นออกมาถึงปากอ่าว สุลต่านมุซาฟาร์ ชาฮุ สิ้นพระชนม์ขณะยกทัพกลับพระศพถูกฝังไว้ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณปากอ่าว
การเจริญสัมพันธไมตรีกับอาณาจักรล้านช้าง พ.ศ. 2103
ฝ่ายกรุงศรีอยุธยาที่มีสมเด็จพระมหาจักรพรรดิเป็นพระเจ้าแผ่นดิน และกรุงศรีสัตนาคนหุต (เวียงจันทน์) มีพระเจ้าไชยเชษฐาเป็นพระเจ้า
แผ่นดิน เมื่อเห็นพม่ามีกำลังเข้มแข็งจึงอยากได้พันธมิตรเพื่อร่วมกันรบพม่าทั้งสองอาณาจักร จึงทำสัญญาทางพระราชไมตรี โดยร่วมใจกันสร้างพระเจดีย์องค์หนึ่งขึ้นที่ เมืองด่านซ้าย เมื่อ พ.ศ. 2103 ตรงกับปีวอก โทศก จุลศักราช 922 และสร้างเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2106 ตรงกับปีกุน เบญจศก จุลศักราช 925 เพื่อเป็นสักขีพยานแห่งการทำสัญญาทางพระราชไมตรีและเป็นเครื่องหมายเขตแดนระหว่างสองอาณาจักร พระเจดีย์องค์นี้จึงได้ชื่อว่า "พระธาตุศรีสองรัก"
การเสียพระเทพกษัตรี ใน พ.ศ. 2106 พระไชยเชษฐา กษัตริย์กรุงศรีสัตนาคนหุต อาณาจจักรล้านช้าง ทรงต้องการเป็นไมตรีกับกรุงศรีอยุธยา จึงส่งทูตมาขอพระเทพกษัตรีพระธิดาองค์เล็กไปเป็นพระชายา สมเด็จพระมหาจักรพรรดิทรงรับไมตรี แต่ตอนนั้นพระเทพกษัตรีทรงพระประชวร พระองค์จึงส่งพระแก้วฟ้าพระธิดาที่เกิดจากสนมไปถวายแทน
เมื่อพระไชยเชษฐาทรงทราบว่าไม่ใช่พระเทพกษัตรีจึงถวายพระแก้วฟ้าคืนใน พ.ศ. 2107 สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ จึงทรงส่งพระเทพกษัตรีไปยังล้านช้าง แต่พระเจ้าบุเรงนองทรงทราบเข้าจึงส่งทหารไปชิงตัวพระเทพกษัตรีมา สมเด็จพระมหาจักรพรรดิทรงทราบก็ทรงเสียพระทัย จึงเสด็จไปประทับที่วังหลัง ให้พระมหินทร์พระโอรสว่าราชการแทน เมื่อพระชนมายุประมาณ 52 พรรษา (บ้างว่า 54 พรรษา) ต่อมาได้เสด็จออกผนวชใน พ.ศ. 2109 โดยมีข้าราชการออกบวชด้วยจำนวนมาก
พระมหินทร์ ทรงได้ว่าราชการแทน ต่อมาทรงมีเรื่องกินแหนงแคลงใจกับพระมหาธรรมราชาจนเกิดความร้าวฉานระหว่างพิษณุโลกกับกรุงศรีอยุธยาเนื่องจากพระองค์สมคบพระไชยเชษฐาไปตีเมืองพิษณุโลก จนพระองค์มิอาจรั้งราชการแผ่นดินจึงทูลเชิญให้สมเด็จพระมหาจักรพรรดิลาผนวชหลังจากที่ทรงผนวชได้ไม่นาน แล้วกลับมาว่าราชการตามเดิม พระองค์กับพระมหินทร์เสด็จขึ้นไปเมืองพิษณุโลก ขณะที่พระมหาธรรมราชาเสด็จไปหงสาวดีแล้วนำพระวิสุทธิกษัตรีย์พร้อมด้วยพระเอกาทศรถมาอยู่ที่กรุงศรีอยุธยา เมื่อพระมหาธรรมราชาทราบเรื่องจึงให้ไปเข้ากับหงสาวดีอย่างเปิดเผยและสุดท้ายก็นำมาสู่สงครามเสียกรุงศรีอยุธยา ใน พ.ศ. 2111 โดยพม่าได้ยกกองทัพใหญ่ 7 กองทัพ โดยมีทัพเมืองพิษณุโลกอยู่ด้วย มีกำลัง 500,000 คน เดินทัพเข้ามาทางด่านแม่ละเมาเข้าล้อมกรุงศรีอยุอยาไว้ทั้งสี่ด้าน โดยมุ่งตีหักเข้ามาทางด้านทิศตะวันออก ซึ่งเป็นด้านที่คูเมืองแคบสุด และใช้กำลังทางเรือปิดกั้นลำน้ำทางตอนใต้ เพื่อไม่ให้ฝ่ายอยุอยาติดต่อกับหัวเมืองทางใต้และต่างประเทศ
สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ทรงพระประชวรหนักประมาณ 25 วันและ เสด็จสวรรคตเมื่อ พ.ศ. 2111 พระชนมายุ 56 พรรษา ครองสิริราชสมบัติได้ 20 ปี ในขณะที่พม่าปิดล้อมกรุงศรีอยุธยาอยู่และกรุงศรีอยุธยาแตกหลังจากพระองค์เสด็จสวรรคตได้ไม่นาน
---------------------------------------------------------------------
ที่มา : ข้อมูลทางบรรณานุกรมของสำนักหอสมุดแห่งชาติ
National Library of Thailand Cataloging in Publication Data
อยุธยา คราเสียกรุง ครั้งที่ ๑ และ ๒ ฉากสุดท้ายของอาณาจักรอันรุ่งเรือง.
-- นนทบุรี : ศรีปัญญา, ๒๕๖๑.
๒๒๔ หน้า.
๑. ไทย-ประวัติศาสตร์-กรุงศรีอยุธยา, ๒๓๑๐. l. ชื่อเรื่อง.
๙๕๙.๓๐๓
ผีกับพุทธ ศาสนาและความเชื่อในสังคมด่านซ้าย
ดุลยภาพทางจิตวิญณาณของชาวบ้านในลุ่มน้ำหมัน ปรับปรุงจาก รายงานการวิจัยเรื่อง "การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม กรณี
ศึกษาบ้านด่านซ้าย นาเวียง และนาหอ ลุ่มน้ำหมัน อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย" เป็นส่วนหนึ่งของ "โครงการอบรมและวิจัยเชิงปฏิบัติการทางประวัติศาสตร์โบราณคดีและชาติพันธุ์" สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) พ.ศ.๒๕๔๘
หัวหน้าโครงการ ศรีศักร วัลลิโภดม มูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์
ที่ปรึกษา ดร.มรว.อคิน รพีพัฒน์
ดร.สุเทพ สุนทรเภสัช รศ.ปรานี วงษ์เทศ
Tonphueng ต้นผึ้ง ; เรียบเรียง